“สติ” คือ การรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน หรือ การรู้ตัว เช่น รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไร กำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร ดีหรือไม่อย่างไร
ซึ่งสติน่าจะเป็นคำที่เราคุ้นหูกันมานานและได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา เพราะเมื่อไหร่ที่มีความวุ่นวายซับซ้อนของปัญหา หรือมีความตึงเครียดทางอารมณ์เข้ามากดดันให้เราต้องคิดหรือตัดสินใจ การมี “สติ” เลยมักจะเป็นสิ่งแรก ๆ ที่เราบอกกับตัวเองเพื่อใช้ในการตั้งหลักก่อนลงมือทำ หรือหลบเลี่ยงสถานการณ์นั้น ๆ ไปก่อน
ในขณะที่การเป็น “ผู้นำ” มักมาพร้อมกับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่มากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะนำในบทบาทใด แต่ความกดดันที่มาพร้อมความเครียด คือการที่เรามีผู้ตามรอเรานำอยู่เสมอ ดังนั้นการคิด ตัดสินใจ และลงมือทำอะไรในแต่ละครั้ง จึงมักมีผลกระทบต่อตัวเองและผู้อื่นค่อนข้างมาก
หลายปีที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นสุดยอดผู้นำอย่าง Marc Benioff ซีอีโอบริษัท Salesforce หรือ Jeff Weiner ซีอีโอบริษัท LinkedIn นั้นออกมาพูดถึงประโยชน์ของการฝึกสติ รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Nike ก็ได้เห็นความสำคัญของการฝึกสติ และมีการจัดเวิร์คช็อปเพื่อให้พนักงานได้ฝึกเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะมีผลวิจัยจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าการทำสมาธิเพื่อฝึกสตินั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น ในขณะที่ลดความเครียด ความวิตกกังวล และทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้ด้วย
จนการฝึกสติกลายเป็นสิ่งที่โรงเรียนสอนธุรกิจและการบริหารทั่วโลกมีการจัดตั้งคอร์สพิเศษขึ้นมา 1-5 วันภายใต้หัวข้อ เช่น “การเป็นผู้นำอย่างแท้จริงด้วยสติ” หรือ “การสื่อสารอย่างมีสติเพื่อผลลัพธ์อันทรงพลัง” เป็นต้น ทำให้เราเห็นว่า “สติ” นั้นกลายมาเป็นหนึ่งในกล่องเครื่องมือของผู้บริหารโดยแท้จริง
โดยตัวอย่างของการมีสติ ที่ผู้บริหารสามารถนำมาใช้ประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาตนเองได้ เช่น
- การรู้จักนิ่ง และจดจ่ออยู่กับที่นาน ๆ ช่วยคลายเครียด เช่น การนั่งสมาธิ
- การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างรอบคอบ ไร้อคติ โดยเฉพาะเมื่อขัดแย้งกับความเห็นของตนเอง
- การตัดสินใจด้วยกระบวนการคิดที่มีเหตุผลมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก
- การเป็นผู้สังเกตุการณ์มากขึ้น แต่ตอบสนองต่อเหตุการณ์น้อยลง
ทั้งนี้ นักประสาทวิทยาและนักจิตวิทยา Viktor Frankl อธิบายว่า “ระหว่างแรงกระตุ้นและการตอบสนองนั้นมีพื้นที่ว่างตรงกลาง ในพื้นที่ว่างนั้นเป็นพลังของเราในการเลือกการตอบสนอง ซึ่งการตอบสนองของเราจะขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะและเสรีภาพของเรา” ดังนั้นการเจริญสติจะสามารถช่วยให้เราจัดการกับพื้นที่ว่างหลังรับแรงกระตุ้นได้ดีขึ้น และเลือกตอบสนองได้อย่างรอบคอบ หรือไม่ตอบสนองบางเหตุการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
แต่การจะเจริญสติได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งที่ B-Healthy เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตใจและ Mindfulness Coach (การฝึกเจริญสติ) ที่พร้อมจะให้บริการคุณในทุกที่ ทุกเวลา ตามที่คุณต้องการ ทำให้คุณสามารถฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง และปรึกษาแผนการดูแลสุขภาพจิตใจในระยะยาว เพื่อลดความเครียด ความกังวล และสามารถเจริญสติอย่างยั่งยืนได้
มาเริ่มด้วยกันตั้งแต่วันนี้นะคะ
แหล่งข้อมูล:
https://drroseann.com/mindfulness-practice-improves-executive-functioning/